Data Loss Prevention (DLP)

DATA SECURITY

DATA LOSS PREVENTION (DLP)

Data Loss Prevention (DLP) คือ ชุดกลยุทธ์ กระบวนการ และเครื่องมือซอฟต์แวร์ ที่ออกแบบมาเพื่อ ตรวจจับและป้องกัน การรั่วไหล, การสูญหาย, การขโมย, หรือการใช้งานข้อมูลที่ละเอียดอ่อนขององค์กรโดย บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต
DLP ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมกฎจราจรข้อมูล โดยบังคับใช้ นโยบายความปลอดภัย เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลสำคัญ (เช่น ข้อมูลลูกค้า, ข้อมูลทางการเงิน, ทรัพย์สินทางปัญญา) จะไม่ถูกส่งออกนอกขอบเขตการควบคุมขององค์กร ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ (Malicious Insiders) หรือไม่ได้ตั้งใจ (Human Error)

DLP ทำงานกับข้อมูล 3 สถานะ

DLP จะทำงานตลอด วงจรชีวิตของข้อมูล (Data Lifecycle) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 สถานะหลัก:
1.    ข้อมูลขณะอยู่นิ่ง (Data at Rest):
    o    คือ: ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บในฐานข้อมูล, ไฟล์เซิร์ฟเวอร์, คลาวด์ หรืออุปกรณ์ปลายทาง (Hard Drive)
    o    การป้องกัน: DLP จะสแกนและ จำแนกชั้นความลับ (Classify) ของข้อมูลเพื่อติดป้ายกำกับ (Labeling) และบังคับใช้การเข้ารหัสที่เข้มงวด
2.    ข้อมูลขณะเคลื่อนย้าย (Data in Motion):
    o    คือ: ข้อมูลที่กำลังถูกส่งผ่านเครือข่าย เช่น อีเมล, การอัปโหลดไปยังคลาวด์, หรือการส่งผ่านแอปพลิเคชัน Messaging
    o    การป้องกัน: DLP จะ ตรวจสอบเนื้อหา (Deep Content Inspection) ของข้อมูลที่กำลังจะออกจากเครือข่ายแบบเรียลไทม์ และบล็อกการส่งออกหากพบรูปแบบข้อมูลที่ละเอียดอ่อน (เช่น เลขบัตรเครดิต, หมายเลขประจำตัวประชาชน)
3.    ข้อมูลขณะใช้งาน (Data in Use):
    o    คือ: ข้อมูลที่กำลังถูกเปิด, แก้ไข, หรือประมวลผลบนอุปกรณ์ปลายทางของพนักงาน
    o    การป้องกัน: DLP บน Endpoint จะควบคุมกิจกรรมของผู้ใช้ เช่น บล็อกการคัดลอก/วาง (Copy/Paste) ข้อมูลไปยังแอปพลิเคชันที่ไม่ปลอดภัย, บล็อกการพิมพ์ (Printing) หรือ บล็อกการถ่ายโอนไปยัง USB Drive ที่ไม่ได้เข้ารหัส

เทคโนโลยีและฟังก์ชันหลักของ DLP

    o    การจำแนกข้อมูล (Data Classification): เป็นขั้นตอนแรกในการระบุว่าข้อมูลใดบ้างที่ถือว่า "ละเอียดอ่อน" โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น
        o    Keyword Matching: ค้นหาคำที่ถูกกำหนด (เช่น "Confidential" หรือชื่อโปรเจกต์ลับ)
        o    Regular Expressions: ค้นหารูปแบบข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน (เช่น รูปแบบเลขบัตรเครดิต, หมายเลขโทรศัพท์)
        o    Fingerprinting: สร้างลายเซ็นดิจิทัลเฉพาะของเอกสารสำคัญ
    o    การแจ้งเตือนและการบล็อก (Alerting and Blocking): เมื่อตรวจพบการละเมิดนโยบาย ระบบจะแจ้งเตือนผู้ใช้และผู้ดูแลระบบทันที และสามารถสั่ง บล็อก การกระทำนั้นๆ ได้อัตโนมัติ
    o    การบังคับใช้นโยบาย (Policy Enforcement): ช่วยให้องค์กรสามารถปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลระหว่างประเทศ (เช่น GDPR) หรือกฎระเบียบเฉพาะอุตสาหกรรม (เช่น HIPAA สำหรับสุขภาพ) เพื่อลดความเสี่ยงทางกฎหมายและค่าปรับจำนวนมหาศาล

DLP จึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับองค์กรที่ต้องการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและรักษาความไว้วางใจของลูกค้าในยุคดิจิทัล


Data Loss Prevention (DLP) เป็น เครื่องมือทางเทคนิคที่สำคัญที่สุด ที่ช่วยให้องค์กรสามารถปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) ของไทยในทางปฏิบัติได้จริง


DLP ไม่ใช่การปฏิบัติตาม PDPA โดยตรง แต่ทำหน้าที่เป็น กลไกบังคับใช้ มาตรการรักษาความปลอดภัย (Data Security) ซึ่งเป็น ข้อกำหนดสำคัญ ภายใต้กฎหมาย PDPA


DLP ล้อตาม PDPA ใน 3 ประเด็นหลัก

PDPA บังคับให้ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) ต้องมี มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง การใช้ การเปลี่ยนแปลง หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่ง DLP ตอบโจทย์เหล่านี้โดยตรง:

1. การป้องกันการรั่วไหล (Confidentiality & Preventing Breach)

 
ข้อกำหนด PDPA การทำงานของ DLP
มาตรา 37(5): กำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลต้องจัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเข้าถึง/เปิดเผยข้อมูลโดยมิชอบ DLP บล็อกการกระทำเสี่ยง: DLP จะสแกนเนื้อหาของไฟล์ อีเมล และข้อมูลที่กำลังจะถูกส่งออก หากพบ ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว (Sensitive PII) หรือ PII (เช่น เลขบัตรประชาชน, ข้อมูลสุขภาพ) ระบบจะบล็อกการส่งออกไปยังช่องทางที่ไม่ปลอดภัยทันที (เช่น อีเมลภายนอก, USB, Cloud Storage ที่ไม่ได้รับอนุญาต)
มาตรา 77 (บทลงโทษ): กำหนดโทษปรับสูงถึง 5 ล้านบาท หากไม่ปฏิบัติตามมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย DLP ลดความเสี่ยง: การบล็อกการรั่วไหลตั้งแต่ต้นทาง ช่วยให้องค์กรสามารถ หลีกเลี่ยงการถูกปรับ และความเสียหายทางชื่อเสียงที่เกิดจากการละเมิดข้อมูล


2. การควบคุมการเข้าถึง (Access Control & Integrity)

 
ข้อกำหนด PDPA การทำงานของ DLP
หลักการจำกัดวัตถุประสงค์: ต้องเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้ DLP บังคับใช้นโยบายภายใน: DLP ช่วยจำกัดว่า ใคร (Role-Based Access) สามารถเข้าถึง, คัดลอก, หรือแก้ไขข้อมูล PII ได้บ้าง โดยอาจบล็อกพนักงานที่ไม่ได้อยู่ในแผนกที่เกี่ยวข้องไม่ให้คัดลอกข้อมูลลูกค้าไปไว้บนเครื่องของตนเอง
การรักษาความถูกต้องครบถ้วน: ต้องทำให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นถูกต้องและไม่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยมิชอบ DLP ตรวจสอบการใช้งาน: DLP ช่วยติดตามว่าข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนถูกนำไปใช้ในทางที่ถูกต้องตามนโยบายหรือไม่ เช่น การบล็อกการนำเข้าหรือส่งออกข้อมูล PII ที่ไม่ผ่านกระบวนการเข้ารหัส (Encryption)


3. การสืบสวนและการรายงาน (Incident Response)
 

ข้อกำหนด PDPA การทำงานของ DLP
การแจ้งเตือนเหตุข้อมูลรั่วไหล: ต้องแจ้งคณะกรรมการ PDPC ภายใน 72 ชั่วโมง หากมีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล DLP สร้างหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์: DLP จะ บันทึกกิจกรรม (Logging) ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ใครพยายามเข้าถึงไฟล์ใด, เมื่อไหร่, และส่งออกไปที่ใด รายงาน เหล่านี้ช่วยให้องค์กรสามารถ สืบสวนหาสาเหตุ (Root Cause Analysis) และรายงานเหตุการณ์ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วตามกรอบเวลา 72 ชั่วโมงที่กฎหมายกำหนด

 

Products & Services

This website Collects

To give you a better experience, by continuing to use our website, you are agreeing to the use of cookies and personal data as set out in our Privacy Policy | Terms and Conditions

Accept